วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

มารู้จักกับเจ้าของBlogก่อนนะค่ะ


สวัสดีค่ะ


ชื่อ เด็กหญิง สุภัทรา ลามี ม.2/10 เลขที่37ค่ะ


โรงเรียนบึงกาฬ อ.บึงกาฬ    จ.หนองคาย 43140

 
คติพจน์=ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น


Hi5 = pakarung_74@hotmail.com


MSN = pakarung_74@hotmail.com


Hotmail = supathra_20@hotmail.com


Facebook = pakarung_74@hotmail.com







วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ดาราจักร

ดาราจักรแคระ



ภาพดาราจักร Sextans A ในกลุ่มท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงดาราจักรขนาดใหญ่ที่มีมวลมากคือแอนดรอเมดาและทางช้างเผือก ดาราจักรแห่งนี้อยู่ห่างออกไปราง 4 ล้านปีแสง ฉากหลังสีเหลืองสว่างคือทางช้างเผือกดาราจักรแคระ (อังกฤษ: Dwarf Galaxy) คือดาราจักรขนาดเล็กที่มีดาวฤกษ์อยู่เพียงไม่กี่พันล้านดวง ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนน้อยหากเทียบกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราที่มีดาวฤกษ์อยู่ราว 2-4 แสนล้านดวง ในบางครั้งเมฆแมเจลแลนใหญ่ซึ่งมีดาวฤกษ์อยู่ราว 3 หมื่นล้านดวง ก็ถูกนับว่าเป็นดาราจักรแคระด้วย ในกลุ่มท้องถิ่นของเรามีดาราจักรแคระอยู่หลายแห่ง ซึ่งมักโคจรไปรอบๆ ดาราจักรที่ใหญ่กว่า เช่น ทางช้างเผือก ดาราจักรแอนดรอเมดา และดาราจักรไทรแองกูลัม รายงานการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้[1] แสดงให้ทราบว่าดาราจักรแคระเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากแรงไทดัลในระหว่างวิวัฒนาการช่วงแรกๆ ของทางช้างเผือกกับดาราจักรแอนดรอเมดา ดาราจักรแคระที่ได้รับผลกระทบจากแรงไทดัลทำให้ดาราจักรแตกตัวและเกิดปฏิกิริยาแรงโน้มถ่วงระหว่างกัน สายธารของสสารในดาราจักรถูกดึงออกจากดาราจักรต้นกำเนิดของมัน รวมถึงกลดของสสารมืดที่อยู่รอบๆ[2]






ดาราจักรทางช้างเผือกมีดาราจักรแคระโคจรอยู่รอบๆ จำนวน 14 ดาราจักร จากการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่า กระจุกดาวทรงกลมที่ใหญ่ที่สุดในทางช้างเผือก คือ โอเมกาคนครึ่งม้า ที่จริงเป็นแกนกลางของดาราจักรแคระแห่งหนึ่งที่มีหลุมดำอยู่ที่ใจกลาง[3] (ดูรายละเอียดเพิ่มที่ ทางช้างเผือก)






ดาราจักรแคระสามารถมีรูปร่างได้หลายแบบ ได้แก่






ดาราจักรชนิดรี : ดาราจักรแคระชนิดรี ใช้ชื่อรหัสว่า dE ส่วนดาราจักรแคระทรงไข่ใช้รหัสว่า dSph


ดาราจักรไร้รูปร่าง : ดาราจักรแคระแบบไร้รูปร่างใช้รหัสว่า dI


ดาราจักรชนิดก้นหอย : ดูที่ ดาราจักรแคระชนิดก้นหอย


นอกจากนี้ ยังมีชื่อเรียกล่าสุดที่ใช้เรียกดาราจักรที่เล็กกว่าและจางกว่าดาราจักรแคระ ว่า ดาราจักรฮอบบิท (Hobbit Galaxy)

ที่มา tp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B0

การจัดสวนญี่ปุ่น


สวนญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากสวนจีน พร้อมๆ กับการเข้ามา ของศาสนา พุทธ ในช่วงศตวรรษที่ 6 มีพระภิกษุญี่ปุ่น 2 รูป จาริกไปศึกษา ในดินแดนจีน และกลับมาตั้งลัทธิใหม่ 2 ลัทธิคือ Shingon และ Tendi ซึ่งเป็น ศาสนาพุทธ แบบมหายาน ลัทธิทั้งสองนี้ เน้นทาง ปฏิบัติ โดยให้ ผู้ปฏิบัติธรรมหาที่ วิเวก เข้าสู่ความเงียบของธรรมชาติ ทำสมาธิเพื่อให้เกิดสติปัญญา การจัดสวน ในญี่ปุ่น จึงมีจุดเริ่มต้น จากวัดเช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของ สวนจีน จากนั้นจึง แผ่ขยาย เข้าไปในวัง และ บ้านคหบดี ในเวลาต่อมา




ช่วงศตวรรษ ที่ 8-12 วัดในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นวัดใน ลัทธิชินโต มีสถาปัตยกรรม คล้ายกับที่ปรากฎในประเทศจีน คือ หลังคา เป็นทรงโค้ง มักจะมุงด้วยหญ้า ไม่มุงกระเบื้อง และจะมี ลานกรวด เพื่อแสดงถึง ความเป็นพื้นที่สงบ ศักดิ์สิทธิ์ ลานกรวดตามวัดต่างๆ จะถูกสร้างขึ้น อย่างประณีต และไม่ปลูกต้นไม้ ที่มีใบร่วงไว้ใน บริเวณใกล้เคียง ในตอนปลายสมัยนี้ นิยมสร้างสระน้ำ ผืนใหญ่ ไว้ในสวน มีศาลา สวดมนต์ ตั้งอยู่รอบๆ สวนในบ้านขุนนาง ชั้นผู้ใหญ่ หรือคหบดี บริเวณศาลาจะมี การตกแต่ง ประดับประดา ด้วยอัญมณี มีค่า มีการติดโคมไฟ ตลอดจน การทำรั้วรอบ






ในศตวรรษที่ 12-14 การเข้ามาของลัทธิ Zen ในญี่ปุ่น ทำให้เกิดสวน อีกประเภทที่เรียกว่า Dry Garden (kare sansui) มีลักษณะเป็นสวนแบบ Minimalism ซึ่งได้รับการออกแบบ เพื่อให้เอื้อต่อการทำสมาธิ สวน Zen จึงเป็นสวนที่มีองค์ประกอบ ( Element ) น้อยมากแสดง ให้เห็นแก่นแท้ ของธรรมชาติ สวนมีลักษณะเป็นลานกรวดที่มีต้นไม้น้อยที่สุด เพื่อให้เห็น ผิวสัมผัสของหินว่า อาจปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือ มอส แนวคิดใน การออกแบบ เป็นการหยิบส่วนประกอบต่างๆ ออกไป ตัดสิ่งฟุ่มเฟือยออกให้ถึงแก่น แนวคิดนี้หากเปรียบเทียบกับ สวนแบบจีน สวนจีนจะมีลักษณะเป็นตัวแทน ( Representation) สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ อาทิ แทนภูเขา แทนน้ำตก ฯลฯ แต่ สวนญี่ปุ่น เป็นสวนที่มีลักษณะแบบชี้แนะ (Suggestion) ให้คิดว่านี่คือภูเขา ผู้ชมต้องใช้ความคิด และ จินตนาการประกอบการรับรู้นั้น






คติแบบเซ็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งอิทธิพลต่อการจัดสวนหินและสวนทรายซึ่งเป็น การเสนอแนวคิดทางนามธรรมใน การจัดสวนแบบญี่ปุ่น ที่แสดงออกถึงความรักและเคารพใน ผืนดิน ก้อนหิน และพืชพันธุ์ ซึ่งแม้จะเป็นบริเวณเล็กๆ แต่ก็สามารถนำ จินตนาการ ของผู้ใช้ให้สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ สวน Zen อันเลื่องชื่อ ในญี่ปุ่นได้แก่สวน Ryoan-ji ( เรียว อัน จิ ) ในเมืองเกียวโต ซึ่ง เป็นสวนหิน ที่มี Theme มาจาก กองเรือ และ ทะล กลุ่มหิน คือ กองเรือ ส่วนรอยคราดหินเป็นวงกลม แทนกระแสน้ำที่วนรอบเรือ Stepping Stone มาจากการ simplify เกาะเล็ก เกาะน้อยของญี่ปุ่น แล้ว หยิบออก โดยวิธีการ Subtraction คิดจากรูปด้าน เสมือนเมื่อน้ำท่วมสูงขึ้น จะเหลือแผ่นดิน หรือ เกาะที่สูงเท่านั้น โดยแสดงแนวคิดดังกล่าวออกมาทาง Plan จัดได้ว่าเป็นสวน Abstract แห่งแรกของโลก ผู้ที่เห็นรอยคราดนี้จะนึกถึงน้ำ โดยที่สวนไม่มีการใช้น้ำตกแต่งเลยแม้สักหยด สวน Zen บางแห่งมีการประยุกต์ ให้มีต้นไม้ที่ ควบคุม Scale ได้ ให้ขึ้นเกาะกับหินเพื่อเพิ่มชีวิตให้กับสวน ถึงแม้ว่า สวน Zen จะดูเป็น Static Garden กระนั้นเมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้ง สวนยังมี Mood of Season ที่แสดงออกยามมี ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงไป หรือ การเปลี่ยนแปลงของมอส หรือตะไคร่ ที่จับบนก้อนหิน

ที่มา http://www.novabizz.com/CDC/Garden/Garden_Style_Japanese.htm



ข้อคิด ข้อเตือนใจ เรื่องความรัก

ข้อคิด ข้อเตือนใจ เรื่องความรัก





1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง



2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่าน ประทานมา



3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความ รู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว



4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป



5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลงประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้นแต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอ



6. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน อย่างประทับใจที่สุด



7. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา



8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง



9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ



10. อย่าบอกลาถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ



11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน



12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต



13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้



14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขา มาจากความฝันเพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น



15. ฝันถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ



16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข



17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน



18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำว่ารักอาจเยียวยาและทำให้มีสุข



19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่ามันเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเรา ที่ปรากฎในพวกเขา



20. คนที่มีความสุขที่สุดไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก



21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่ พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่า-ของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิต



22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา



23. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่แสนเจ็บปวด คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ



24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ



25. ความรักก็เหมือนกับการเสี่ยง คุณอาจจะต้องพบกับความล้มเหลว แต่ถ้าคุณไม่เสี่ยง คุณก็อาจจะต้องพบกับความล้มเหลวตลอดไป



26. ความรัก มักเหมือนแก้วบาง ถ้าหากคุณมือหนัก แก้วที่คุณถือ ก็อาจจะต้องแตกร้าวทุกครั้งที่คุณใช้มัน



27. ความรัก ง่ายที่เราจะหามัน แต่ยากที่จะรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

ที่มา http://webboard.yenta4.com/topic/1197

โรคไมเกรน(Migraine Headache)

โรคไมเกรน(Migraine Headache)




โรคไมเกรน(Migraine Headache) ปวดศีรษะข้างเดียว สาเหตุ อาการ วิธีป้องกันและรักษา


อาการปวดศีรษะเป็นอาการเริ่มต้นของหลายๆ โรค การจะพูดว่าการปวดศีรษะที่เป็นอยู่นั้นคือการปวดไมเกรนต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน การวินิจฉัยอาการปวดศีรษะว่าเป็นไมเกรนหรือไม่นั้นประกอบด้วยการซักประวัติของผู้ป่วยและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ต้องสังเกตลักษณะอาการปวด ระยะเวลาที่ปวดศีรษะ ความถี่ของอาการปวด ความรุนแรงและบางครั้งอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยเช่น อาการแขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง อาการชัก มีไข้ ตาโปน เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ฯลฯ


ลักษณะสำคัญของอาการปวดไมเกรนคืออาการปวดศีรษะที่มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและปวดตื้อๆ ระดับความรุนแรงของการปวดมักเป็นระดับปานกลางจนถึงปวดอย่างรุนแรง ลักษณะเด่นของอาการปวดไมเกรนคือ มักจะปวดศีรษะเพียงข้างเดียว(ปวดทั้งสองข้างหรือปวดทั่วทั้งศีรษะก็มีแต่น้อย) อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคไมเกรนจะมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย




การปวดศีรษะข้างเดียวหรือปวดไมเกรนแต่ละครั้งจะกินเวลานานแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ 30 นาทีจนถึง 12 ชั่วโมงและอาการปวดไมเกรนจะยิ่งปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการนำก่อนที่จะปวดไมเกรนโดยเห็นแสงวูบวาบ ระยิบระยับ ตาพร่ามัวมองไม่เห็นชั่วขณะ รู้สึกว่าร่างกายข้างใดข้างหนึ่งชา อาการนำจะเป็นอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง




สาเหตุของการปวดไมเกรนเกิดจากระบบประสาทของผู้ป่วยไมเกรนมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายในร่างกายและสิ่งแวดล้อมภายนอกมากกว่าปกติทำให้เส้นประสาทรอบๆ สมองเกิดการอักเสบ ผลกระทบที่ผู้ป่วยได้รับจากการปวดศีรษะข้างเดียว(Migraine)คือต้องทรมานจากการปวดศีรษะจนนอนไม่หลับหรือหลับก็ไม่เต็มตื่น ทำงานไม่ได้ ไปเรียนหนังสือก็ไม่รู้เรื่องจนเครียดถึงขั้นเสียสุขภาพจิต


ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้ปวดไมเกรนคือเรื่องอาหารการกิน การกินอาหารไม่ตรงเวลาและอาหารที่กินมีส่วนประกอบของผงชูรสหรือสารถนอมอาหารมากเกินไป การนอนหลับพักผ่อนไม่พอดี(นอนน้อยไปหรือนอนมากไป) การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีผลกระทบต่ออาการปวดไมเกรน นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีความเครียดและไม่สามารถหาทางผ่อนคลายได้จะทำให้การปวดไมเกรนถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเช่น แดดร้อน กลิ่นควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ กลิ่นน้ำหอมที่รุนแรง ล้วนเป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นให้ปวดไมเกรนมากขึ้นได้




วีธีการรักษาอาการปวดไมเกรนทำได้โดยการบรรเทาอาการปวดศีรษะและป้องกันไม่ให้อาการปวดรุนแรงขึ้นโดยให้มีความถี่ในการปวดลดลง การบรรเทาอาการปวดไมเกรนเริ่มจากการนวดให้ผ่อนคลาย ประคบร้อน-เย็น การอยู่นิ่งๆ จนถึงการนอนหลับ หากวิธีเหล่านี้ไม่ได้ผลก็ต้องใช้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด หากปวดน้อยๆ ก็ให้ใช้ยาแก้ปวดธรรมดาคือ ยาพาราเซตามอล (ใช้ Paracetamol ในปริมาณที่เหมาะสม) หากอาการปวดยังไม่ทุเลาอาจใช้ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์แรงขึ้นเช่น บรูเฟ่น(Ibuprofen) พอนสะแตน(Ponstan) ยาทั้งสองตัวนี้มีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหารเป็นยาที่ต้องกินหลังอาหารทันที




นอกจากนี้ยังมียาที่ให้ผลในการปิดกั้นการออกฤทธิ์ต้านเซอโรโตนิน(Serotonin คือสารที่สมองหลั่งออกมาทำให้เกิดอาการปวดไมเกรน) เช่น คาเฟอกอต(Cafergot) ทริปแทน ฯลฯ ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาแก้ปวดทั่วไปแต่มีฤทธิ์รักษาอาการปวดไมเกรนโดยเฉพาะและอาจมีผลข้างเคียงที่อันตรายต่อผู้ใช้ ดังนั้นการใช้ยาในกลุ่มนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์
การป้องกันอาการปวดไมเกรนโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นที่ทราบแล้วว่าสาเหตุการเกิดโรคไมเกรนเกิดจากร่างกายมีความไวต่อการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในร่างกายและสิ่งแวดล้อมภายนอกมากเกินไป ดังนั้นหากเรามีกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำเป็นประจำเช่น กินอาหาร นอนหลับ ออกกำลังกาย ทำงาน ฯลฯ ให้ทำกิจวัตรเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงต่อสิ่งที่จะกระตุ้นให้อาการปวดไมเกรนกำเริบเช่น ควันบุหรี่ อาหารที่ใส่สารปรุงรส แดดร้อน ภาวะที่เคร่งเครียด เสียงดัง ฯลฯ
การป้องกันโรคไมเกรนโดยการใช้ยา หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วอาการปวดไมเกรนยังมีอยู่(มากกว่า 2-3 ครั้ง/เดือนหรือปวดรุนแรง) อาจต้องใช้ยาป้องกันโรคไมเกรน ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ไม่ให้สมองหลั่งสารเซอโรโตนิน(Serotonin)ออกมามากเกินไป การใช้ยาป้องกันโรคไมเกรนต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆ ไปและต้องกินยาต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือนจนอาการไมเกรนดีขึ้น


ผู้ป่วยที่มีอาการปวดไมเกรนควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน หากอาการปวดไมเกรนยังไม่ดีขึ้นให้บรรเทาโดยการนวดและพักผ่อนให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย หากยังมีอาการปวดอยู่อีกจึงค่อยใช้ยารักษาตามระดับความรุนแรงของอาการปวดจนถึงการป้องกันโรคไมเกรนโดยการใช้ยา อย่าลืมว่ายาสำหรับโรคไมเกรนมีผลข้างเคียงที่อันตรายจึงควรใช้ยาโดยขอคำแนะนำและอยู่ในความดูแลของแพทย์ทุกครั้ง.
 
ที่มาhttp://thai-good-health.blogspot.com/2009/08/migraine-headache.html

นักคณิตศาสตร์ พีธากอรัส (Pythagorus)

พีธากอรัส (Pythagorus)


พีธากอรัสเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อว่า พีธากอรัสมีอายุอยู่ในราว 582 - 500 ก่อนคริสตกาล พีธากอรัสเป็นชาวกรีก เป็นนักปรัชญา และผู้นำศาสนา พีธากอรัสมีผลงานที่สำคัญคือ เป็นนักคิด เป็นนักดาราศาสตร์ นักดนตรี และนักคณิตศาสตร์ แรกเริ่มในชีวิตเยาว์วัยอยู่ในประเทศกรีก ต่อมาได้ย้ายถิ่นพำนักไปตอนใต้ของอิตาลี ที่เมืองโครตัน (Croton) ศึกษาเล่าเรียนทางปรัชญาและศาสนาที่นั่น พีธากอรัสมีผู้ติดตามและสาวกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า Pythagorean การทำงานของพีธากอรัสและสาวกจึงทำงานร่วมกัน

แนวคิดที่สำคัญของพีธากอรัสและสาวกคือ หลายสิ่งหลายอย่างสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคณิตศาสตร์ ทำให้การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง พีธากอรัสและสาวกได้ทำการพิสูจน์ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์หลายเรื่อง และต่อมาทฤษฎีเหล่านี้เป็นรากฐานของวิทยาการในยุคอียิปต์

สิ่งที่สำคัญและถือได้ว่าเป็นทฤษฎีของพีธากอรัสที่มีชื่อเสียง คือ ความสัมพันธ์ของด้าน 3 ด้านของสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งความรู้นี้มีมาก่อนแล้วกว่า 700 BC แต่การนำมาพิสูจน์อ้างอิงและรวบรวมได้กระทำในยุคของพีธากอรัสนี้


พีธากอรัสได้กล่าวว่า ด้านของสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดสั้นกว่าเส้นทแยงมุม และจุดนี้เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเลขมีลักษณะเป็นตัวเลขอตรรกยะ (irrational) คือ ตัวเลขที่หาขอบเขตสิ้นสุดไม่ได้ ดัง ซึ่งไม่มีใครสามารถหาจุดสิ้นสุดของค่าของจำนวนอตรรกยะนี้ได้ ในยุคนั้นจึงให้ความสนใจในเรื่องของจำนวน ตัวเลข และเรขาคณิต


เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพีธากอรัสและสาวก เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติหลายอย่าง พีธากอรัสได้กล่าวถึงลักษณะของด้านและมุมของรูปสามเหลี่ยม และรูปหลายเหลี่ยมต่าง ๆ จนถือได้ว่าเป็นพื้นฐานแห่งทฤษฎีบทหลายบทจนถึงปัจจุบัน เช่น ผลบวกของมุมภายในของสามเหลี่ยมใด ๆ มีค่าเท่ากับสองมุมฉาก และยังสามารถขยายต่อไปอีกว่า ในรูปสามเหลี่ยมที่มีจำนวนด้านเท่ากับ n ผลบวกของมุมภายในรวมเท่ากับ 2n - 4 มุมฉาก


สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติและการสังเกตของพีธากอรัสในขณะนั้นคือ เขาเชื่อว่าโลกมีลักษณะกลม และเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดวงจันทร์ และดาวต่าง ๆ โคจรรอบโลก เขาเสนอว่าดวงจันทร์โคจรรอบโลก เขายังเป็นคนแรกที่เชื่อและแสดงให้เห็นว่า ดาวประจำเมือง (ดาวศุกร์) ที่เห็นตอนเย็น และดาวประกายพฤกษ์ที่เห็นตอนเช้ามืดเป็นดาวดวงเดียวกัน


การสังเกตของพีธากอรัสต่อสิ่งแวดล้อม เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเป็นรากฐานความคิดในยุดต่อไป

ที่มา  http://sites.google.com/site/prisanachira/nak-khnitsastr-xek-khxng-lok/phi-tha-ko-ras-pythagorus